รัฐบาลเลบานอนตัดสินใจลาออกทั้งคณะเมื่อคืน 10 ส.ค. เพื่อแสดงความรับผิดชอบเหตุระเบิดครั้งใหญ่ที่โกดังท่าเรือกรุงเบรุตเมื่อ 4 ส.ค. นายกรัฐมนตรีฮาสซาน ดิอับ ประกาศผ่านโทรทัศน์แห่งชาติ ระบุถึงเหตุระเบิดคือหายนภัยเหนือมาตรการเฝ้าระวัง ทั้งเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน ถือเหมือนแผ่นดินไหวเขย่าประเทศชาติ โดยก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีรัฐบาลเลบานอนลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบแล้ว 3 ราย คือ รมว.ด้านสิ่งแวดล้อม รมว.กระทรวงข่าวสาร และ รมว.กระทรวงยุติธรรม
ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสารเคมีอันตราย ระบุยังมีสารเคมีอันตรายหลงเหลืออยู่ในท่าเรือกรุงเบรุตอย่างน้อย 20 ตู้คอนเทนเนอร์ แต่ไม่เปิดเผยรายละเอียด ส่วนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเลบานอน ระบุเคยเตือนภัยเรื่องสารเคมีอันตรายภายในท่าเรือกรุงเบรุตแล้วตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ค. แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล
เหตุระเบิดโกดังสารเคมีแอมโมเนียนไนเตรตปริมาณกว่า 2,750 ตัน บริเวณท่าเรือกรุงเบรุต เมืองหลวงเลบานอนเมื่อช่วงเย็นวันที่ 4 ส.ค. ตามเวลาท้องถิ่น ทำให้สารไวไฟระเบิดอย่างรุนแรง ทำลายพื้นที่ท่าเรือพังราบคาบบริเวณกว้าง ตัวเลขผู้เสียชีวิตพุ่งทะยานขึ้นถึงกว่า 200 ราย ยังสูญหายอีกหลายคน ผู้บาดเจ็บมากกว่า 6,000 คน ชาวบ้านต้องไร้ที่อยู่อาศัยทันทีมากกว่า 300,000 คน นานาชาติเร่งระดมทุนช่วยเหลือเลบานอนได้แล้วราว 297 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ความเสียหายที่ประเมินจากเหตุระเบิดรุนแรงครั้งนี้มากถึงราว 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
รัฐบาลเลบานอนปฏิเสธความช่วยเหลือจากต่างชาติสืบสวนสอบสวนสาเหตุระเบิด ซึ่งยังไม่สรุปชัดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรกันแน่ ขณะที่องค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงโครงการอาหารโลกและองค์การอนามัยโลก ต่างห่วงกังวลสถานการณ์ในเลบานอนจะยิ่งเลวร้ายลง เพราะเลบานอนต้องพึ่งพาอาหารนำเข้า ผู้คนตกงานมากกว่า 33 เปอร์เซ็นต์ ชาวเลบานอนมากราว 1 ล้านคน ยากจนต่ำกว่าระดับมาตรฐาน อีกทั้งยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากภัยระบาดของ “โควิด-19” ซึ่งผู้คนติดเชื้อทั้งประเทศเกือบ 6,000 ราย เสียชีวิต 70 ราย
โครงการอาหารโลกช่วยจัดส่งแป้งข้าวสาลีช่วยเลบานอนแล้วน้ำหนัก 50,000 ตัน ขณะที่ชาวเลบานอนจำนวนมากยังประท้วงต่อเนื่องเพราะโกรธแค้นรัฐบาลที่นำสารเคมีไวไฟอันตรายปริมาณมหาศาลเก็บไว้ใกล้ชุมชนแบบไม่ปลอดภัยนานกว่า 6 ปี หรือตั้งแต่ปี 2557 ทั้งยังมีเรื่องทุจริตคอร์รัปชันเกี่ยวข้องด้วย