อดีตกษัตริย์สเปน เสด็จหนีออกนอกประเทศ! หลังทรงถูกตรวจสอบการเงิน

สำนักพระราชวังสเปน ยอมรับกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ว่าสมเด็จพระราชาธิบดีฆวน การ์ลอส ที่ 1 อดีตพระมหากษัตริย์แห่งสเปน เสด็จพระราชดำเนินหนีออกนอกประเทศแล้ว หลังจากทรงถูกตรวจสอบข้อตกลงการเงิน ที่กลายเป็นประเด็นฉาวของพระองค์

นอกจากนี้ยังทรงทิ้งพระราชหัตถเลขา (จดหมาย) ให้พระบาทสมเด็จพระราชาธิบดีเฟลิเป ที่ 5 พระมหากษัตริย์แห่งสเปนพระองค์ปัจจุบันว่า สาเหตุที่ทรงตัดสินใจหนีไปเพราะกำลังเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนจากสาธารณชน ที่เป็นผลมาจากการใช้ชีวิตส่วนพระองค์ในอดีต

“พ่อตัดสินใจแบบนี้ด้วยความเศร้าใจ แต่ก็ไตร่ตรองดีแล้ว พ่อเป็นกษัตริย์แห่งสเปนมาเกือบ 40 ปี และระหว่างนั้น พ่อหวังดีต่อสเปนและราชบัลลังก์” พระราชหัตถเลขา ระบุ

อย่างไรก็ตาม สำนักพระราชวังสเปนไม่ได้เปิดเผยว่าสมเด็จพระราชาธิบดีฆวน การ์ลอส ที่ 1 เสด็จพระราชดำเนินหนีไปที่ใด
ย้อนเรื่องฉาวการเงินอดีตกษัตริย์สเปน

ที่ผ่านมาสื่อมวลชนสเปนต่างรายงานเกี่ยวกับเรื่องฉาวเกี่ยวกับการเงินของอดีตกษัตริย์พระองค์นี้ ตั้งแต่ก่อนสละราชสมบัติเมื่อปี 2557 ทั้งยังมีรายงานเรื่องที่พระมหากษัตริย์สเปนพระองค์ปัจจุบัน ทรงพยายามตีพระองค์ออกหากจากพระราชบิดาพระองค์นี้ด้วย

ทั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีฆวน การ์ลอส ที่ 1 ทรงมีพระชนมพรรษา 82 พรรษาแล้ว ทรงเป็นที่รู้จักในสเปนว่าทรงช่วยนำพาประเทศเข้าสู่ยุคประชาธิปไตย หลังจากตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการของจอมพลฟรานซิสโก ฟรังโก

แต่หลายปีมานี้ ภาพลักษณ์ของอดีตกษัตริย์พระองค์นี้กลับย่ำแย่ลง เพราะเมื่อปี 2557 ทรงสละราชสมบัติท่ามกลางข่าวฉาวทางการเงิน ทั้งยังทรงถูกประชาชนและสื่อมวลชนวิจารณ์การเสด็จพระราชดำเนินไปยังประเทศบอตสวานาเพื่อล่าช้าง เมื่อปี 2555 ทั้งๆ ที่ขณะนั้นประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ

ส่วนเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระราชาธิบดีเฟลิเป ที่ 5 ทรงระงับการจ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงจากภาษีประชาชนให้กับพระราชบิดา และทรงประกาศว่าจะทรงไม่รับมรดกจากพระราชบิดาด้วย
ทรงเอี่ยวผลประโยชน์ในซาอุฯ?

เมื่อเดือนที่แล้ว เจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งของสเปนเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า อัยการสวิตเซอร์แลนด์กำลังพิจารณาเอกสาร ที่อ้างว่าสมเด็จพระราชาธิบดีฆวน การ์ลอส ที่ 1 น่าจะทรงรับเงินมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ (3,120 ล้านบาท) จากกษัตริย์ซาอุดีอาระเบียเมื่อปี 2551

เจ้าหน้าที่สเปนคนนี้สันนิษฐานอีกว่า เงินก้อนดังกล่าวน่าจะเกี่ยวข้องกับสัญญาก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเส้นทางระหว่างเมืองเมดินาและนครมักกะห์ ในซาอุดีอาระเบีย ที่บริษัทร่วมทุนสัญชาติสเปนรายหนึ่งชนะการประมูล

Related posts